เรื่อง ทุกได้แต่อย่าท้อ
มนุษย์ทุกคนล้วนไม่มีใครชอบความทุกข์และหาหนทางหลีกเลี่ยงเสมอ
หลายคนใช้วิธีทำตนเองให้มีจิตใจที่ว่างไปจากความทุกข์
คนบางคนเมื่อเกิดทุกข์แล้วเขาไม่ย่อท้อพยายามหาทางที่จะดำเนินชีวิตให้ได้อย่างเป็นปกติสุข
วิธีการเหล่านี้ก็คือการสร้างพลังอำนาจทางจิตใจของตนเองให้ปลอดไปจากความทุกข์
แต่การจะทำตัวเราให้ว่างไปจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น
เราก็ต้องรู้สาเหตุให้ได้ก่อนว่า
ความทุกข์ของมนุษย์ประเภทเราที่ใช้ชีวิตประจำวันเดินดินข้าวแกงอยู่ในทุกวันนี้
มีบ่อเกิดแห่งทุกข์มาจากช่องทางใดและเงื่อนไขใดได้บ้าง
บ่อเกิดแห่งทุกข์ของมนุษย์มี 3 ประการ คือ
1.
ความทุกข์ที่เกิดจาก”ความอยาก”ทั้งหลายทั้งปวง เช่น อยากรู้ อยากเห็น อยากดู อยากเป็น อยากมี
อยากได้ อยากกิน อยากดม อยากจับ อยากสัมผัส
อยากอยากเหล่านี้
มันนำพาความทุกข์มาสู่ตนเองได้อย่างไร
ส่วนใหญ่แล้วมนุษย์มักจะรู้ไม่ทันความทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตของตนเอง
ที่ควบคู่ไปกับความอยากที่มันบังเกิดขึ้นมาด้วยกัน กล่าวง่ายๆก็คือว่า
ถ้าเมื่อใดในจิตใจของเราเกิดการสั่นสะเทือนเป็นความอยากขึ้นมา ในเวลาเดียวกันนั้น
จิตใจอีกส่วนหนึ่งของเราจะสั่นสะเทือนเป็นทุกข์ทีเป็นผลลัพธ์หรือผลกรรมที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนของความอยากทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
เช่น ความอยากรู้
เรามักอยากรู้ว่า เราจะได้รู้ไหม เราจะได้รู้มากรู้น้อยแค่ไหน เราจะรู้ได้อย่างไร
นั่นคือตัวอย่าง
ขณะที่สั่นสะเทือนเป็นความอยากมากๆอยู่นี้
มนุษย์เราส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวเลยว่านั่นคือความทุกข์ แต่พอเมื่อเราสมอยากแล้ว
จึงมีเวลาค่อยๆย้อนกลับมานั่งวิเคราะห์ว่า ตอนที่เราอยากมากๆ
ก่อนจะสมอยากของเรานั่นมันคือทุกข์หรือไม่ เราจะเห็นภาพมันอย่างชัดเจน
เห็นภาพพฤติกรรมของเรา เห็นภาพบทบาทลีลาที่ตนเองแสดงออก
เพื่อให้ได้มาซึ่งความอยากหรือคามต้องการของตนเอง ถึงตรงนี้เราจะสามารถบอกได้ว่า
มันทุรนทุรายขนาดไหน ต้องดิ้นรนมากมายเพียงใด ต้องทรมานแค่ไหน ต้องคาดหวัง
ต้องมุ่งหมาย ต้องมุ่งมั่นปานใด
เหนื่อยนักหนา นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “ ความทุกข์” ทั้งนั้น
ความทุกข์ในที่นี้
หมายถึง สิ่งที่ทนได้ยาก นั่นคือนิยามของคำว่า “ทุกข์” เพราะฉะนั้น
ถ้าจะกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา
สิ่งที่เกิดขึ้นในอารมณ์รู้สึกของเราแล้วเป็นสิ่งที่ทนได้ยาก เราก็จะเรียกมันว่า
“ความทุกข์”
2.
ความทุกข์ที่เกิดจาก
“ความไม่อยาก” ทั้งหลายทั้งปวง
ถ้าเราต้องการจะว่างไปจากความทุกข์ได้
เราจะต้องดับทุกข์ที่เกิดจากความไม่อยากของจิตใจของเราให้ได้ด้วย
ในชีวิตประจำวันของเรา “ความไม่อยาก” ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามและกลับกันกับความอยาก
สามารถนำพาความทุกข์มาให้กับตัวเราเองเช่นกัน
มันนำพาอารมณ์รู้สึกนึกคิดที่ทนได้ยากให้เกิดขึ้นในหัวใจของเราทั้งหลายในชีวิตประจำวันได้ไม่ต่างกับความอยากเลย
เช่น ถ้าไม่อยากรู้ในขณะที่ตัวเองต้องรู้หรือได้รู้
เพียงแค่นี้ทุกข์แล้วใช่หรือไม่
หรือสิ่งที่เราไม่อยากเห็นและตัวเราหลีกเลี่ยงไม่ได้หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องยังก่อให้เกิดความลำเค็ญในหัวใจได้เหมือนกันเราต้องทนดูเห็นในสิ่งที่ตัวเราไม่อยากดูไม่อยากเห็นเรื่องนี้ก็คือความทุกข์ด้วยเช่นเดียวกัน
เหมือนดังตัวอย่าง
เช่น ถ้าเรายังต้องอยู่ร่วมกันในห้องทำงานเดียวกันกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ หรือต้องอยู่ร่วมกันในห้องเดียวกันกับคนที่ใกล้ชิดคนที่ใกล้ตัว
อยู่กับครอบครัวของเรา แล้วอยู่ๆขณะที่เรากำลังมีความสุขมีอารมณ์ดีอยู่
ก็เกิดได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ ซึ่งเราก็รู้ว่า
ต้องมีใครก็ใครคนใดคนหนึ่งละที่อยู่ในห้องนั้นเป็นผู้กระทำออกมา
ทำให้เรารู้สึกสะอิดสะเอียน ทำให้รู้สึกคลื่นเหียนเวียนศีรษะ
เวียนอารมณ์พะอืดพะอมเพราะเป็นกลิ่นอันไม่พึงต้องการ
ถ้าหากว่าเรายังยึดติดอยู่กับคำว่า “ไม่อยากได้กลิ่นนี้เลย รำคาญกลิ่นนี้จัง
เหม็นจังเลย ใครน่ะเป็นคนปล่อยกลิ่นไม่ดีนี้ออกมา”
ถ้าจิตใจของเราสั่นสะเทือนด้วยอาการที่เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดอยู่อย่างนี้
นั่นแสดงว่าเรากำลังปฏิเสธกลิ่นที่เราได้สัมผัสหรือได้สูดเข้าไปถูกต้องหรือไม่
ธรรมดาแล้วกลิ่นเหม็นไม่มีใครชอบ
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราผู้เป็นผู้ประพฤติธรรม
แต่เรายังยึดติดคิดจะปฏิเสธกลิ่นนั้นอยู่ แสดงว่าเรามีการสั่นสะเทือนเป็นการไม่อยากอยากขึ้นแล้ว
ไม่อยากได้ได้กลิ่น ไม่อยากดมไม่อยากหายใจเข้าไปใช่ไหม และถามว่า เป็นทุกข์หรือไม่
ถ้าหากว่าตราบใดที่เรายังต้องสูดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
ซึ่งเป็นกลิ่นอันชวนสะอิดสะเอียนคลื่นเหียนอาเจียนเข้าไปพร้อมกับลมหายใจที่เราต้องการอยู่นี้
นานมาก เท่าใดมันก็ยิ่งทำให้เราเป็นทุกข์นานมากเท่านั้น สุดจะทนหรือเหลือจะทนทานได้มากเท่านั้น
นั่นคือตัวอย่างของ “ความทุกข์จากความไม่อยาก”
เพราะฉะนั้น
ถ้าเราต้องการจะดับทุกข์หรือทำตัวเองให้ว่างไปจากความทุกข์ ก็คือ
“อย่าเกิดความทุกข์” ถึงแม้จะเป็นเรื่องของความอยากหรือไม่อยากก็ตาม
ถ้าเราไม่มีคำว่า”อยาก” หรือไม่มีคำว่า”ไม่อยาก”
เราจะว่างไปจากความทุกข์เป็นแน่นอน นั่นคือวิธีง่ายๆ
การที่จะช่วยทำให้เรามีการปลอดทุกข์เกิดขึ้นในหัวใจ
ซึ่งเรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก
ถ้าเรานั้นเป็นผู้ประพฤติธรรมต้องเข้าใจและรับทราบให้ได้ว่า แท้จริงแล้ว
“ความอยาก” หรือ “ความไม่อยาก” ทั้งหลายทั้งปวงนี้ คือ ตัวก่อเหตุก่อการณ์
ทำให้เรามีปัญหาในเรื่องของอารมณ์รู้สึกที่เป็นกิเลสตัณหานานัปการเราจะต้องหาวิธีดับกิเลส
ดับตัณหาไม่ให้มันเกิดให้วุ่นวายในชีวิตประจำวัน
หรือให้วุ่นวายไปทั้งชีวิตนี้ด้วยซ้ำแต่เราก็ไม่สามารถจะขจัดขัดเกลาหรือปัดเป่าไม่ให้กิเลสตัณหามาสั่นสะเทือนเกิดขึ้นในจิตใจของเราในชีวิตประจำวันได้
เพราะมันกลายเป็นเรื่องที่เราคิดว่ายากไปสำหรับเราแล้ว
แท้จริงแล้วกิเลสตัณหาเหล่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ ที่เราเรียกว่า โลภ โกรธ หลง งมงาย สงสัย
เหล่านี้ล้วนเกิดจากความอยากของมนุษย์ทั้งสิ้น
ความอยากหรือความไม่อยากเป็นเรื่องเดียวกันเป็นตัวนำไปสู่โลภะ โทสะ โมหะ
อย่างที่พระพุทธเจ้าท่าทรงสอนพวกเรามา
การที่เราจะไม่ทำให้เกิดความทุกข์อันเกิดจากความอยากหรือไม่อยากนั้นมีวิธีเดียวคือ
อย่ามีคำว่าอยาก
หรือคำว่าไม่อยาก เกิดขึ้นในชีวิต
หลายคนถามว่า
ทำไมความอยากหรือไม่อยากเป็นตัวก่อเหตุ
และทำให้บังเกิดความทุกข์ในจิตใจของคนเราได้เสมอ
สาเหตุก็เป็นเพราะว่าเมื่อเกิดทุกข์ขึ้นในจิตใจของเนาแล้ว
การเป็นคนปลอดทุกข์หรือว่างไปจากความทุกข์กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พอหัวใจมีความทุกข์
อำนาจแรงสั่นสะเทือนทางจิตใจที่เป็นคลื่นความถี่ทางพลังงานก็จะมีพลังอำนาจที่ต่ำ
ถ้าจะกล่าวให้เป็นวิทยาศาสตร์
เพื่อให้ท่านนักวิชาการทั้งหลายหรือผู้เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์พลังงานมาบ้างได้มีความเข้าใจตรงกัน
ก็คือ พลังอำนาจทางจิตใจของเรา ถ้าเราสามารถจะสั่นยะเทือนด้วยคลื่นความถี่ที่ต่ำอำนาจทางพลังงานก็จะต่ำไปด้วย
ไม่ต่างกับสายของกีตาร์
ถ้าเราดึงหรือไขปับให้ตึง เวลาเราดีด เสียงที่ได้เป็นเสียงสูง
เสียงที่สูงนี้คือผลลัพธ์ของการสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่สูง
เพราะความตึงของเส้นลวดเส้นนั้นนั่นเอง ต่างกับสายของกีตาร์อีกเส้นหนึ่ง
ที่ขึงเอาไว้ตึงน้อยกว่า เวลาดีดแล้วเสียงที่ปรากฏออกมาให้หูเราได้ยินรินรับนั้น
มันก็จะเป็นคลื่นของความถี่ของเสียงที่ทุ้มกว่านุ่มกว่าและต่ำกว่า
เพราะแรงสั่นสะเทือนหรือความถี่ของการสั่นสะเทือนจะสั่นสะเทือนได้ต่ำกว่า
หรือน้อยกว่าเส้นที่ดึงหรือขึงไว้จนตึงนั่นเอง
3.ความทุกข์ที่เกิดจากความรู้ของเรา สำหรับมนุษย์เราจะมีความรู้ที่เรารู้อยู่แล้วอยู่กับตัวเราเอง
และความรู้ที่เรารู้บางสิ่งบางเรื่องนี้
จะนำพาตัวเราไปสู่ความทุกข์และทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนทางจิตใจของเราให้เป็นทุกข์ได้มี
5 ประการคือ
1.
รู้ล่วงหน้า
ถ้าเรารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับภัยพิบัติทั้งหลายบนโลก
พื้นแผ่นดินจะสั่นสะเทือนเคลื่อนไหลรุนแรงมากขึ้นภัยจะเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยมีสาเหตูเป็นเพราะจิตสำนึกของมนุษย์ตกต่ำลง มนุษย์มีธรรมมะน้อยลง รักกันไม่ได้
ให้กันไม่เป็นมนุษย์มีอาการป่วยทางจิตสำนึก
แล้วถ้าเมื่อใดสังคมมนุษย์จะต้องต่อสู้หรือทำสงครามกับภัยธรรมชาติเสมอ
ถ้าหลายคนเชื่อและเข้าใจในสิ่งเหล่านี้
แต่ไม่รู้วิธีที่จะปฏิบัติตนปฏิบัติจิตว่าจะทำอย่างไรที่จะปฏิบัติว่าจะทำอย่างไรที่จะสั่นไหวกับความรู้ที่ตัวรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้
กลัวว่าถ้าเกิดแล้วจะทำอย่างไร ได้แต่ดิ้นรนสับสนสงสัย
ทำให้เกิดความทุกข์ว่าเราจะหลีกหนีไปอยู่ที่ไหนดี น้ำจะท่วมบ้านฉันไหม
แผ่นดินบ้านฉันจะจมไหม แผ่นจะไหว แผ่นดินจะแยกแถวบ้านฉันหรือไม่
ฉันและทุกคนในครอบครัวฉันคงจะต้องตาย ฉันจะรอดชีวิตหรือไม่
จะย้ายบ้านไปอยู่ที่ไหน ถ้าขายที่ตรงนี้แล้วจะไปซื้อที่ตรงไหน
ถ้าเราเป็นอย่างนี้ เกิดความทุกข์อย่างแน่นอน
สู้ให้เราทำใจยอมรับว่า
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แล้วรีบก้มลงมองดูตนเองว่า
“ภัยพิบัติโลกทั้งหลายที่มันจะเกิดเป็นเพราะมนุษย์ไร้จิตสำนึก มนุษย์รักกันไม่ได้
ให้กันไม่เป็น” เรารู้เรื่องสงครามระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติที่มันจะเกิดขึ้นนี่ดีว่าเกิดเพราะอย่างนี้เรารีบก้มหน้าก้มตาถือศีลประพฤติธรรมอยู่ในธรรมะอย่างสมดุลมีความสุนทรีย์กับการเป็นคนดี
แบบอย่างที่ดีให้กับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ
ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่โชคร้ายอยู่ในท่ามกลางภัยพิบัติอันเลวร้ายเหล่านั้น
แล้วสามารถถามตัวเองได้ว่า “ตัวเองรักกับเขาได้ ให้กับเขาเป็นคนหนึ่งหรือป่าว”
เท่านี้
ตัวเราเองก็จะเป็นผู้ประพฤติธรรมที่ไม่งมงายสามารถแสดงความเป็นรูปธรรมในการเป็นคนประพฤติธรรม
โดยการทำให้ตัวเองมี พลังอำนาจทางกาย พลังอำนาจทางจิต
และพลังงานอำนาจทางจิตวิญญาณหรือพลังอำนาจทางสติปัญญา
ที่เราเพียรแสวงหาเพื่อให้แก่ตัวเราเองนั้น เราทำขึ้นมาได้แล้ว
ความสามารถที่จะสั่นสะเทือน 3
สิ่ง 3 ด้านที่กล่าวนี้ เป็นพลังอำนาจด้านบวกที่สูงสุด
เป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยปกป้องตนเองให้แคล้วคลาดปลอดภัย
และดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีสันติสุขได้อย่างแน่แท้
ดังนั้นวิธีที่จะนำพาตัวเองไปสู่ความสุข คือ
การนำตัวเองไปสู่การพ้นทุกข์ให้ได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดไปบนโลกนี้
ใครมีหน้าที่จะต้องทำสิ่งใดก็ต้องทำสิ่งนั้นไป ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็จะดีกว่า เช่นคนกลัวผี เวลาใครเราเรื่องผี
เขาก็จะพยายามเข้ามานั่งฟังใกล้ๆตั้งใจชูคอฟังกันหน้าสลอน อยากรู้เรื่องผี พอรู้แล้วก็เกิดทุกข์อีก
คือกลัวผีแต่สำหรับคนที่ไม่กลัวผี เขาก็จะไม่มีทุกข์
เพราะเวลาใครเล่าเรื่องผีใครพูดเรื่องผี เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาจะไม่สนใจ คือ
วางเฉยได้
เพราะฉะนั้น
ความรู้อะไรที่ไม่ควรรู้ ไม่น่ารู้ เมื่อเรารูแล้วไม่อาจทำใจรับมันได้
หรือแม้ว่าจะเป็นเรื่องน่ารู้ แต่เรารู้แล้วเราทำใจไม่ได้
เราไม่สามารถปฏิบัติตนให้ถูกต้องเหมาะสม ทำจิตใจของเราให้สมดุลไม่ได้ เมื่อเรารับฟังแล้วรับรู้แล้วจะเกิดทุกข์
เราก็สู้อย่าไปรู้มันเสียจะดีกว่า ควรทำใจยอมรับให้ได้ว่า พอถึงเวลา
พอถึงเวลาแล้วค่อยมารู้กันว่ามันเป็นอย่างไรจะดีกว่า
2.
รู้มาก
คนที่รู้มากก็ไม่ต่างกับคนที่รู้อะไรล่วงหน้าที่เป็นเรื่องร้ายๆเรื่องที่จะเสียหาย
แล้วทำจิตใจหวั่นไหวกลายเป็นทุกข์ได้บางที่รู้แล้วเกิดร้อนวิชา
การรู้แล้วเกิดร้อนวิชาหมายความว่า “อยากแสดงออก” บางทีแสดงออกอย่างเดียวไม่พอ
อยากอวด คือ อวดคนอื่นว่าข้าแน่อวดว่าข้าเก่ง ไปท้าทายคนอื่นเขา
ถ้าไม่มีเวทีไม่มีให้แสดงออก หรือไม่มีใครเขาที่จะใส่ใจรับรู้รับฟัง
ไม่มีใครยกย่องยกยอ สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้
เพราะฉะนั้น ถ้าจะรู้ก็ขอให้รู้แค่พอตัว
ถ้าเรารู้มากเกินไปแล้วร้อนวิชา อย่าไปรู้มันมันเสียดีกว่า แต่ถ้ารู้มากแล้วเป็นความรู้ที่ควรรู้
เป็นความรู้ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อชีวิตตนเองและครอบครัว
ช่วยให้เกิดความสันติสุขในสังคมที่เป็นส่วนรวมได้
เราควรรีบเรียนรู้เอาไว้มากๆโดยเร็ว แล้วอาการร้อนวิชาก็จะไม่มี
เพราะเราจะไม่ทุกข์อะไร
ก็นี่คือทางออกหรือทางเลี่ยง
สำหรับผู้ประพฤติธรรมที่จะสามารถนำพาสันติสุขมาสู่ตนเอง ครอบครัว
และสังคมที่ดำรงอยู่ได้อย่างสบายๆ
3.
รู้น้อยหรือรู้ผิด
เป็นความทุกข์ที่เกิดจากความรู้เช่นกันเพราะว่าเป็นเรื่องของเศษๆความรู้
คนเราบางครั้งเวลารู้น้อย คือ รู้น้อยเกินไปก็เป็นทุกข์เหมือนกัน
ที่ทุกข์เป็นเพราะว่า ถ้าจะนำเอาความรู้นั้นมายังชีพ มาทำงาน มาสื่อสอน
มาสั่งสอนผู้อื่น ก็จะขาดความมั่นใจเพราะเรายังรู้ไม่จริง
คนเราทำอะไรแล้วขาดความมั่นใจในสิ่งที่ตนเองกำลังประพฤติปฏิบัติ
หรือกำลังจะกระทำอยู่ เขาก็จะเป็นทุกข์ได้ เกิดทุกข์เพราะกลัวผิดพลาด
กลัวเกิดความล้มเหลวจากการกระทำของตัวเอง
หรือทุกข์เพราะว่ากลัวว่าจะทำไม่ได้จะทำไม่สำเร็จ
นั่นคือ เกิดความทุกข์เพราเรารู้น้อยเกินไป ฉะนั้น
วิธีเดียวที่จะแก้ที่จะช่วยให้เราไม่มีความทุกข์ หรือทำให้เราว่างไปจากความทุกข์
ก็คือหมั่นศึกษาเรียนรู้เอาไว้มากๆ
เปิดใจให้กว้างพร้อมจะรับรู้เรียนรู้ความรู้ความรู้ใหม่และสิ่งใหม่ๆ
ซึ่งเป็นทางออกที่จะทำให้เราปลอดทุกข์ได้
ส่วนความรู้ที่ผิดๆนี้ ส่วนมากแล้วจะเป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการที่ตนเองสั่นสะเทือนตนเองด้วยความรู้ที่รู้มาโดยผิดๆ
เช่น ถูกเขาหลอกมา ได้รับข้อมูลผิดๆ ได้รับข้อมูลไม่ถูกต้องไม่ครบถ้วน
เหล่านี้คือสิ่งที่มนุษย์ทำผิดพลาดกันมาก ตัวอย่างเช่น
ถ้าเราเป็นผู้จัดการเราบริหารงานแล้วตัดสินใจผิดพลาด เพราะเรารู้น้อยหรือรู้ผิด
ก็ไม่ต่างกับเป็นการนำทุกข์มาสู่ตนเองทุกครั้งที่ตัดสินใจ
นอกจากนี้ การที่เรามีความรู้น้อยหรือได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดทำให้เกิดความทุกข์เกิดขึ้นในจิตของตนเองแล้ว
ทุกข์อันเกิดจากการสั่นสะเทือนผิดๆจากการแสดงพฤติกรรมการปฏิบัติที่ผิดๆ
ยังจะทำให้คนอื่นที่อยู่รอบข้าง เช่น เพื่อนร่วมงานของเรา เจ้านาย ลูกน้อง พ่อ แม่
พี่ น้อง สามี ภรรยา และลูกๆหลานๆของเรา
เขาเหล่านั้นก็พลอยเป็นทุกข์ตามเราไปด้วยเพราะพฤติกรรมที่เกิดจากการที่เรารู้ผิดรู้พลาด
หรือไม่รู้ถูกต้องนั่นเอง
เพราะฉะนั้นเราต้องระวังในการสรรหาและใช้ข้อมูลในการดำเนินชีวิตด้วยเหมือนกัน
4.ทุกข์อันเกิดจากความไม่รู้ เป็นความทุกข์ที่จะทำให้เรามีปัญหา แล้วทำให้เราหาความสุขไม่ได้
ทำให้มีพลังอำนาจทางจิตใจที่ต้อยต่ำ
ทุกข์อันเกิดจากความไม่รู้ ก็คือ
เราไม่รู้อะไรเลย เช่น ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร
ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร
ไม่รู้ว่าอนาคตหรือโชคชะตาว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่รู้ขนาดนี้เราทุกข์แน่นอน
เพราะฉะนั้น
เราก็จะต้องหาวิธีที่จะดับทุกข์ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยของเราที่จะสามารถประพฤติปฏิบัติได้
ด้วยการรีบทำความไม่รู้ให้มันรู้กระจ่างเสีย
แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น
แล้วเราบังเอิญไปรู้เรื่องของเขาอย่างนี้ถือว่าเราไปใฝ่รู้ในเรื่องส่วนตัวของชาวบ้าน
เขาก็กล่าวหาเราได้ว่า ส.เสือใส่เกือกไปยุ่งเรื่องของเขา มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร
เราก็จะเป็นทุกข์อยู่อย่างเดิม ทางออกทาเลือกที่ฉลาด
คือต้องไม่รับรู้เรื่องส่วนตัวของคนอื่นเขา
เพราะฉะนั้น
ความไม่รู้บางครั้งมันก็เป็นสุขดีอยู่แล้ว ก็อย่าทำให้ตัวเองเป็นทุกข์
เพราะความไม่รู้ตรงนั้นเลย
แต่ถ้าเป็นความไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้ก็รีบทำความไม่รู้นั้นให้กระจ่างเสีย
ด้วยการเรียนรู้ หาครูสอน ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป
5.ทุกข์อันเกิดจากความไม่เข้าใจ ก็ไม่ต่างกับความไม่รู้ ถ้าเราเกิดจากไม่เข้าใจเราก็ทำให้เข้าใจเสีย
ใจเย็นๆ ค่อยๆศึกษา ค่อยๆเรียนรู้ แล้วค่อยๆทำความไม่เข้าใจ
ถ้าไมเข้าใจใครก็ศึกษาคนนั้น ไม่เข้าใจความรู้สึก ก็ศึกษาความรู้นั้น
ไม่เข้าใจเรื่องราวหรือสถานการณ์ใดก็ศึกษาเรียนรู้สถานการณ์นั้น
คำตอบมีเพียงท่านี้
แหล่งที่มา ปริญญา ตันสกุล(2551)ทุกข์ได้แต่อย่าท้อ.สำนักพิมพ์จิตจักรวาล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น